รีวิว รถไฟฟ้ามาหานะเธอ Bangkok Traffic (Love) Story
รีวิว HIGHLIGHTS6 MINS. READ
ชื่อหนังแรกๆ คือ Last Train to Bangrak ตั้งโดย พี่เก้ง-จิระ มะลิกุล แน่นอนว่าฟังง่ายและตรงไปตรงมา นึกถึงเพลงดังที่ร้องว่า เสียงรถด่วนขบวนสุดท้าย และขบวนสุดท้ายนั้นกำลังจะวิ่งไปที่บางรัก คือถ้ามึงไม่ขึ้นขบวนนี้ มึงอาจจะไม่มีความรักแล้วนะ
บทร่างแรกๆ ของหนังเรื่องนี้จริงๆ ว่าด้วยการที่พี่เคนของเราเป็นคนสร้างรางรถไฟฟ้า แล้วส่วนต่อขยายนั้นมันมาพาดผ่านหน้าบ้านและดาดฟ้าของตึกแถวบ้านเหมยลี่ ทั้งสองเลยมีโอกาสได้คุยกันผ่านรางรถไฟฟ้าและดาดฟ้าบ้าน
ในเรื่อง ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ รับบทเป็นดาราชื่อ สตีเฟ่น จำรัส ซึ่งเล่นละครชื่อ น้ำตากามเทพ ร่วมกับ แอฟ ทักษอร โดยมีต้นแบบแห่งการแสดงแนวโกรธแล้วชี้มือสั่นจาก ตู่-นพพล โกมารชุน และ อั้ม-อธิชาติ ชุมนานนท์
“คีย์เวิร์ดสำคัญสำหรับหนังเรื่อง รถไฟฟ้า มาหานะเธอ มีแค่ 3 คำคือ สาว 30 ยังไม่มีแฟน, ความรักของคนกลางวันและคนกลางคืน และการจราจรในกรุงเทพฯ” นั่นคือสิ่งที่ พี่เก้ง-จิระ มะลิกุล บอกผมเมื่อ 12 ปีที่แล้ว สมัยผมยังเป็นเด็กฝึกงานด้านการเขียนบทหนังที่ GTH
สำหรับพี่เก้งและพี่วรรณ (วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์ – โปรดิวเซอร์ ปัจจุบันผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์และพัฒนาบทภาพยนตร์) หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่หนังเรื่องแรกที่พี่ๆ เขาสร้าง แต่สำหรับผมแล้วนี่คือโปรเจกต์หนังขนาดยาวในระบบสตูดิโอเรื่องแรกที่ตัวเองมีโอกาสได้เข้าไปมีส่วนร่วมในฐานะคนเขียนบท ทั้งๆ ที่ความรู้ก็ยังน้อยนิด จึงไม่น่าแปลกใจที่เวลา 12 ปีผ่านไป อาจจะไม่สามารถทำลายความทรงจำเกี่ยวกับงานนี้ของผมได้
หากคุณยังคงตราตรึงใจกับหนังไทยแนวความรักใส ๆ ของคนแอบรักที่พยายามทำทุกอย่างให้ได้ใจเขาในอดีตก็คงต้องนึกถึงหนังเรื่อง “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” ของค่าย GTH เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดูเป็นร้อยครั้งก็ไม่เบื่อ ยิ่งได้นักแสดงนำอย่างคริส หอวังและเคน ธีรเดชมาเป็นคู่พระนางในเรื่องก็ยิ่งทำให้เคมีคู่กันจนถล่มรายได้แบบพุ่งกระฉูดจนส่งผลให้เพลงประกอบหนังอย่าง “โปรดส่งใครมารักฉันที” ของ Instinct ดังมาจนถึงปัจจุบันไปด้วย
แต่หากใครที่เพิ่งมาเป็นคอหนังรุ่นใหม่ เราก็แนะนำว่าต้องลองติดตามเพราะรถไฟฟ้ามาหานะเธออาจจะเป็นหนังในดวงใจของคุณอีกเรื่องก็ได้
– เรื่องย่อหนังรถไฟฟ้ามาหานะเธอ (2009)
หนังรถไฟฟ้ามาหานะเธอ (2009) ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของ “เหมยลี่”สาวออฟฟิศที่ยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนในขณะที่เพื่อนสนิทของเธอแต่งงานแล้ว จนกระทั่งในคืนวันแต่งงานของเพื่อนเธอซึ่งทำเอาเหมยลี่เมาหนักจนนอนบนเตียงที่คอนโดแทนที่คู่บ่าวสาว
เมื่อสร่างเมาแล้วเธอจึงได้ขับรถกลับบ้านแต่ด้วยความที่ยังคงมึนอยู่จึงทำให้ขับรถไถเข้าไปข้างทาง “ลุง”จึงช่วยเข้ามาดูรถทำให้ทั้งสองได้พบกันจนเป็นจุดเริ่มต้นที่โชคชะตาได้นำพาให้เหมยลี่ต้องมาโคจรเจอกับลุงเรื่อย ๆ จนทำของส่วนตัวเขาพังหลายอย่าง แต่นั่นก็ทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันมากขึ้น
– ความน่าสนใจของหนังรถไฟฟ้ามาหานะเธอ (2009)
หนังรถไฟฟ้ามาหานะเธอ (2009) ได้บอกเล่าถึงมุมมองคนโสดซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นปัญหาสำหรับคนวัยทำงานที่ควรจะได้แต่งงานมีครอบครัวสมบูรณ์แบบแล้ว แต่นางเอกซึ่งเป็นตัวแทนคนโสดกลับยังหาแฟนไม่ได้เพราะความที่เป็นคนซุ่มซ่าม เปิ่น ๆ เธอจึงรู้สึกเหงาซึ่งมันค่อนข้างจะโดนใจผู้ชมหลายคนมากแบบอินจัดกับโมเม้นต์ชีวิตนาง
จนกระทั่งฟ้าได้ส่ง “ลุง” (ใช่แล้ว! นี่คือชื่อของพระเอก คือปังตั้งแต่ชื่อตัวละครคิดดู) พระเอกของเราที่เป็นวิศวกรรถไฟฟ้าให้ต้องมาถูกนางเอกป่วนชีวิตทำของพังทุกครั้งที่พบกัน ซึ่งนางเอกที่ตกหลุมรักพระเอกมาตั้งแต่แรก นางก็พยายามจะซ่อมสิ่งที่ทำพังให้พระเอกจนพวกเขาได้มาพบกันหลายครั้งและสนิท พระเอกก็เป็นคนที่ยิ้มง่าย อบอุ่น และใจดีเกินเบอร์จริง ไม่โกรธหรือต่อว่านางเอกสักคำ พ่อของลูกที่แท้ทรู
ในเรื่องจะมีฉากโรแมนติกกุ๊กกิ๊กระหว่างที่ก่อให้เกิดความรักระหว่างคู่พระนางมากมาย เช่น ฉากเล่นน้ำสงกรานต์ที่พระเอกหล่อทะลุแป้ง ฉากที่ทั้งคู่พากันไปท้องฟ้าจำลอง และได้ชวนลุงดูดาวหางที่กำลังจะมาถึงโลกในเร็ว ๆ นี้ซึ่งเขาก็ตกลง แถมนางก็หึงพระเอกมากด้วยเวลามีน้องที่รู้จักกันมาเข้าใกล้พระเอก มีความฮาและโรแมนติกครบจบในเรื่องเดียวจริง โดยเฉพาะฉากที่พระเอกให้เบอร์นางเอกในรถไฟฟ้านี่ผู้ชมกรี๊ดกันลั่นโรงเลย
– ข้อคิดดี ๆ จากหนังรถไฟฟ้ามาหานะเธอ (2009)
หนังรถไฟฟ้ามาหานะเธอ (2009) ได้สอนให้เรารู้ว่า ความรักก่อเกิดได้จากการเรียนรู้ การให้เวลาในการทำความรู้จักกัน อยู่ด้วยกันบ่อย ๆ ไม่จำเป็นต้องพูดคำว่า “รัก”ออกมา แค่เพียงให้เวลา สถานที่ จิตใจ และการรอคอยเป็นเครื่องพิสูจน์ สุดท้ายแล้วหากเขารักคุณจริงก็จะกลับมาหาคุณเอง
ปฏิบัติการคว้าผู้ชายกลางคืนมาเป็นเจ้าของหัวใจจึงเกิดขึ้น
หนังเล่นกับมุกตลกฮาๆ มากมายทุกฉาก จนคนดูพากันหัวเราะอย่างไม่หวาดไม่ไหว เพราะความเปิ่นๆ ฮาๆ ของเหมยลี่ บวกการตัดต่อแบบหนังการ์ตูนญี่ปุ่นที่โอเวอร์แอ็คติ้งนิดๆ มีคิดในใจให้ได้ยิน หนังของ GTH เคยส่งให้หลายคนโด่งดังไปหลายคน เรื่องนี้คงไม่พ้น ทำให้ชื่อ “คริส หอวัง” โด่งดังกว่าเดิมอีกหลายเท่า นอกจากนี้ ยังคิดถูกที่เลือก “เคน” มาแสดง เพราะเขาคือผู้ชายที่หญิงไทยหลายคนเพ้ออยู่ จึ๊ดแน่นอน เพราะพวกเธอต้องคิดว่าตัวเองกำลังเป็น “เหมยลี่” อยู่แน่ๆ
รีวิว ในโอกาสที่ครบรอบ 10 ปี BTS ทาง GTH จึงปั้นเรื่องของรถไฟฟ้าของคนเมืองมาผสมกับความรักของสาวเมือง ที่นับวันยิ่งแต่งงานกันน้อยลง ไม่ก็แต่งกันในวัยที่มากขึ้นทุกที อาจด้วยเพราะผู้ชายเมืองหายากขึ้นทุกทีจนต้องแย่งกันคว้า แม้ว่าเหมยลี่จะเจอคนนั้น แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ต้องสะดุดด้วยอุปสรรคหลากรูปแบบ ที่มีพลังพอจะแยกคนสองคนให้เลิกลาจากกันได้
ทั้งเวลาเอย ระยะทางเอย ความผันแปรของจิตใจเอย ทุกอย่างคือสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริงกับทุกคน มิน่ามันถึงโดนใจยิ่งนัก
นอกจากดาราแขกรับเชิญหลายคนที่มาช่วยสร้างความฮา (นอกจาก แจ็ค แฟนฉัน ที่เห็นกันในหนังตัวอย่างไปแล้ว) ไปดูเอาเองแล้วกันว่ามีใครบ้าง หนังมีเวลาให้เราสนุกความรักที่แสนฮาไปค่อนเรื่อง ก่อนปิดท้ายด้วยอารมณ์อีกด้านของความรัก แม้จะเตรียมใจมาแค่ไหน ผมก็ไม่วายเสียน้ำตาให้กับมัน ตั้งแต่คำพูดนั้นของเหมยลี่ มาจนถึงตอนจบ น้ำตาไม่เคยเหือดแห้งจางไป ทำให้ผมนึกถึง “Marley & Me” หนังหมาๆ ที่ตั้งใจเล่าเรื่องคนที่ผมเพิ่งได้ดูไป ฮาตลอดเรื่องแล้วมาร้องไห้กันตอนท้าย แต่ “Marley & Me” ก็ไม่ได้ทำให้เราเศร้านานขนาดนี้
นางเอกหมวยๆ…ไม่เอานะเธอ
หลายคนคิดว่าความแข็งแรงของความหมวยในหนังเรื่องนี้จะต้องเป็นแกนหลักในการหานางเอกแน่ๆ แต่จริงๆ แล้วไอเดียการหานักแสดงเรื่องนี้คือสาวตาโตแบบการ์ตูนตาหวาน นักแสดงที่ได้รับการเรียกมาแคสติ้งในรอบแรกจึงเป็นสาวตาโตล้วนๆ กลมดิ๊ก คือถ้าตาใครมีประกายน้ำแบบในการ์ตูนจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ แต่สุดท้ายไทป์นี้ก็ตกรอบไป เพราะความหมวยยังคงครอบงำหนังเรื่องนี้จนทางโปรดิวเซอร์ไม่สามารถสลัดออกไปได้ ตัวเลือกนักแสดงหมวยจึงทยอยกลับมาอีกครั้ง
ชื่อของ คริส หอวัง ที่ป๊อปอัพมาเป็นชื่อแรกๆ สมัยทีมแคสติ้งเพิ่งได้อ่านบทใหม่จึงกลับมาอีกครั้งในตารางการแคสติ้ง และสุดท้ายชื่อของเธอก็ถูกพิมพ์ลงโปสเตอร์หนังเรื่องนี้ และประทับลงในจิตใจของสาววัย 30 ชาวไทยที่ยังไม่มีแฟนทั่วประเทศ เรียกได้ว่าเป็นไอดอลเลยก็ว่าได้
รถด่วน…ขบวนบางรัก
ผมคุยกับพี่ปิ๊งเล่นๆ ว่า เออ ตอนนั้นที่ผมดูหนัง ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมบ้านคุณลุง (เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์) มันจะต้องเป็นเกสต์เฮาส์ริมแม่น้ำ พี่เน้นเอาสวยเหรอ พี่ปิ๊งบอกว่า มึงจำไม่ได้เหรอว่าบทร่างแรกๆ ชื่อหนังมันคือ Last Train To Bangrak …อ๋อ ใช่ว่ะ
ชื่อหนังแรกๆ คือ Last Train To Bangrak ตั้งโดย พี่เก้ง-จิระ มะลิกุล แน่นอนว่าฟังง่ายและตรงไปตรงมา นึกถึงเพลงดังที่ร้องว่า เสียงรถด่วนขบวนสุดท้าย และขบวนสุดท้ายนั้นกำลังจะวิ่งไปที่บางรัก คือถ้ามึงไม่ขึ้นขบวนนี้ มึงอาจจะไม่มีความรักแล้วนะ ถ้าเจอคนที่ใช่แล้ว มึงต้องขึ้นแล้วล่ะ เลิกเก๊กได้แล้ว อะไรประมาณนี้
ดังนั้นพี่ปิ๊งเลยเริ่มไปเดินเล่นแถวบางรักจริงๆ ว่ามันมีอะไรแถวๆ นั้นบ้าง บ้านของนางเอกจึงเป็นตึกแถวเหมือนบ้านในย่านนั้น รวมถึงบ้านคุณลุงที่เขียนไว้ว่าจะต้องอยู่ใกล้บ้านเหมยลี่ ก็เลยไปอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และสุดท้ายสถานีรถไฟฟ้าที่เหมยลี่และคุณลุงขึ้นเป็นประจำจึงเป็นสถานีสะพานตากสิน ดูหนัง ไทย
เมโลดราม่า…ไม่ได้นะเธอ
พี่ปิ๊งเล่าว่า มึงรู้ไหมว่าตอนนั้นกูมีความพยายามจะทำให้หนังเรื่องนี้ไม่มีฉากน้ำตาร่วงเมโลดราม่าสุดจี๊ด เพราะฉากแบบนี้หนัง GTH ในยุคนั้นมีบ่อยมาก พี่ปิ๊งเลยต้องการ Disrupt
ฟังเสร็จ ผมนั่งคิดว่าในหนัง รถไฟฟ้า มาหานะเธอ มันไม่มีฉากเมโลดราม่ายังไง ฉากคริส หอวังร้องไห้เละเทะตอนได้รับของเก่าๆ คืนจากคุณลุงนั่นสุดจะ Dramatic
พี่ปิ๊งเลยบอกว่า ก็กูพยายามแล้วไง แค่สุดท้ายมันไม่สำเร็จ (ฮา) เขาเล่าให้ฟังต่อว่า ฉากนั้นจริงๆ แล้วพี่ปิ๊งบรีฟคริสว่า อย่าร้องเละเทะนะ เอาแบบคลอๆ น้ำตาเกาะขอบตาพอ เธอต้องพยายามกลั้นให้ได้ เพราะอารมณ์ตัวละครมันเป็นแบบนั้น
เทกแรก แอ็กชัน: น้ำตาท่วม
พี่ปิ๊งขอใหม่อีกรอบ บรีฟใหม่ อย่าร้องๆ เอานิดเดียวพอ
เทกสอง แอ็กชัน: ร้องเละ
พี่ปิ๊งคิดในใจ เอาวะ มึงร้องไปสองเทกแล้ว น้ำตาหมดแล้วแน่นอน เทกสามเดี๋ยวแม่งได้แล้วล่ะ
เทกสาม แอ็กชัน: ร้องเละเทะที่สุด / จบ.
พี่ปิ๊งหันกลับไปถามพี่เก้ง จิระที่ไปออกกองด้วยว่าเอาไงดีครับพี่ พี่เก้งบอกว่า เลยตามเลย
สุดท้ายเราก็ได้ฉากเมโลดราม่าสุดจี๊ดกลับมาอยู่ในหนัง แม้จะไม่เป็นไปตามความตั้งใจของพี่ปิ๊ง แต่มันก็จี๊ดจริงๆ นะพี่
เคนธีรเดช…ไม่มีใครจำได้นะเธอ
ความดังของพี่เคนในช่วงปีนั้นเรียกได้ว่า กงยู เมืองไทย
ความเหนื่อยลำบากของกองถ่ายคือ การถ่ายทำพี่เคนในตอนกลางวัน เพราะจะมีคนมารุมล้อมพี่เคนตลอดเวลา ตอนถ่ายฉากงานสงกรานต์ตรงถนนใหญ่ก็จะมีมอเตอร์ไซค์บิดมาขนาบข้างตลอด
แต่โชคดีว่าตัวละครของพี่เคนเป็นพระเอกแห่งรัตติกาล เน้นอยู่กลางคืน เวลาถ่ายพี่เคนตอนกลางคืนจะไม่ค่อยมีปัญหามาก เพราะคนทั่วไปเหมือนจะไม่แน่ใจว่านี่ใช่เคน ธีรเดชหรือเปล่า มาเดินเล่นอะไรดึกดื่นแถวย่านชุมชนแบบนี้ จึงช่วยให้เกิดความสบายในการถ่ายทำมากขึ้น บางทีไปขึ้นรถไฟฟ้าคนก็ไม่ค่อยตกใจมาก
คนสร้างราง…ไม่ใช่นะเธอ
บทร่างแรกๆ ของหนังเรื่องนี้จริงๆ ว่าด้วยการที่พี่เคนของเราเป็นคนสร้างรางรถไฟฟ้าแล้วส่วนต่อขยายนั้นมันมาพาดผ่านหน้าบ้านและดาดฟ้าของตึกแถวบ้านเหมยลี่ ทั้งสองเลยมีโอกาสได้คุยกันผ่านรางรถไฟฟ้าและดาดฟ้าบ้าน โดยที่ตอนนั้นผมมีโอกาสได้ไปรีเสิร์ชบ้านเพื่อนที่ขายมอเตอร์ไซค์แล้วสถานีรถไฟฟ้าอยู่ติดกับดาดฟ้าบ้านจริงๆ คือใกล้กับชานชาลาชนิดที่ว่าสามารถกระโดดข้ามไปได้เลย พวกเราคิดว่าพล็อตนี้น่าสนใจจริงๆ คือถ้าเหมยลี่ไม่ยอมทำอะไรสักทีกับคุณลุง รางที่ลุงสร้างก็จะค่อยๆ เสร็จและเลยผ่านหน้าบ้านตัวเองไป
เมื่อเขียนเสร็จ ทางโปรดิวเซอร์เอาบทไปเสนอทาง BTS เพื่อจะขออนุญาตสถานที่ถ่ายทำ และทันทีที่ BTS อ่านจบ เขาบอกว่าชอบมากครับ แต่ว่าตัวละครคนสร้างรางไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเรานะครับ เพราะ BTS ไม่ใช่บริษัทรับก่อสร้างรางรถไฟ ได้ยินแบบนี้ก็เหวอกันไปแป๊บหนึ่ง สุดท้ายเราก็กลับมาแก้ไขบทพี่เคนให้กลายวิศวกรซ่อมบำรุงรางประจำวันแทน ซึ่งคนเหล่านี้จะต้องทำงานตอนดึกหลังรถไฟฟ้าปิด ก็คือเที่ยงคืนเป็นต้นไป ซึ่งก็ยังรักษาคอนเซปต์การเป็นคนกลางคืนได้เหมือนเดิม
(แถม) บทร่างแรกๆ หนังจบที่คุณลุงและเหมยลี่ร่ำลากันที่สะพานตากสิน ก่อนที่คุณลุงจะลาไปเมืองนอกและทั้งสองคนไม่ได้เจอกันอีกเลย ซึ่งแน่นอนว่าพี่คนอื่นๆ ก็มาช่วยทำให้ตอนจบอันแสนหดหู่นี้กลายเป็นฉากจบที่ดีกว่าเดิมอย่างที่เห็นในหนัง